สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองในประเทศวันนี้ ( 19 มิ.ย.66 ) ปิดตลาดลดลง 50 บาทจากช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ตลาดรอคำแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ต่อรัฐสภา วันที่ 21-22 มิ.ย. เพื่อจับสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย
- ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 32,050.00 บาท/บาททองคำ และขายออก 32,150.00 บาท/บาททองคำ
- ทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 31,472.16 บาท/บาททองคำ และขายออก 32,650.00 บาท/บาททองคำ
ทองคำในประเทศ อ้างอิงตลาดสปอตที่ 1,951.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และอิงค่าเงินบาท 34.80บาท/ดอลลาร์
ราคาทองฟิวเจอร์ทรงตัวจากช่วงปลายสัปดาห์ที่ปรับขึ้นแรงหลังประชุมเฟด
ห้างทองฮั่วเซ่งเฮงรายงานว่าในสัปดาห์ก่อนธนาคารกลางหลายแห่งได้มีการประชุมเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน ซึ่งก็ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐได้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00%-5.25% ในการประชุมครั้งนี้ แต่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมครั้งต่อไป ส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวน จากตอนแรกราคาทองคำปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน หลังจากเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก
แต่ดอลลาร์ก็กลับมาอ่อนค่า หนุนราคาทองคำ จากที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้น หลังผลการประชุมของ ECB
ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้แนวโน้มอ่อน จับตาประธานเฟดแถลงสภา 21-22 มิ.ย.
เฟดคงดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี แต่ยังส่งสัญญาณขึ้นต่อ
ทั้งนี้การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ 2 ธนาคารกลางใหญ่นั้น สะท้อนมุมมองว่าถึงเงินเฟ้อในยุโรปและสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปจะถูกบั่นทอนจากปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่เงินเฟ้อเอเชียนั้นเพิ่มขึ้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อของสหรัฐและยุโรป และปัญหาเงินเฟ้อของเอเชียไม่รุนแรงมากนัก และคาดว่าเงินเฟ้อของเอเชียได้แตะจุดสูงสุดแล้ว
ขณะที่มอร์แกนสแตนลีย์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียในปีนี้อาจจะขยายตัวมากกว่าสหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะอินเดีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่นมีแนวโน้มเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ซึ่งทั้ง 3 ประเทศเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชีย ส่วนจีนนั้น แม้ว่าข้อมูลล่าสุดตัวเลขทางเศรษฐกิจจีนที่ออกมานั้นค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้มีการคาดการณ์การเติบโตของ GDP จีนลดลงอยู่ระหว่าง 5.2%-5.7% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 5.7%-6.3% ทำให้จีนมีแนวโน้มจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเงินเฟ้อจีนก็อยู่ในระดับต่ำ โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนอุปสงค์ที่อ่อนแอในภาคผู้บริโภคและภาคเอกชน ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สถิติความต้องการทองคำที่ผ่านมามักจะเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทางทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจจีน หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวดีขึ้น ความต้องการทองคำจะมากขึ้น และหากเศรษฐกิจจีนอ่อนแอลง ความต้องการทองคำจากจีนก็ลดลง เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ไตรมาส 2 นี้ความต้องการทองคำในจีนลดลง ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านฤดูกาลคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นอกจากนี้ การคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจเอเชียที่อาจสูงกว่ายุโรปและสหรัฐในปีนี้ อาจส่งผลดีต่อทองคำ เนื่องจากเอเชียมีประเทศที่มีความต้องการทองคำรายใหญ่ในอันดับต้น ๆ ของโลก ได้แก่ จีนและอินเดีย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ โดยจะเห็นว่าในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลตรุษจีน เทศกาลดิวาลีของอินเดีย รวมถึงการแต่งงานของคนอินเดีย มักจะมี gold demand ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง ความเป็นไปได้ของความต้องการทองคำอาจมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่น่าจับตามองอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตในทุก ๆ ด้านที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าอินเดียอาจจะแซงจีนในทุกด้านอีกไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม Gold demand ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งมาจาก demand ด้านการทำเครื่องประดับ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี การลงทุนที่ลดลง ขณะที่การบริโภคอัญมณีทั่วโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากด้านฝั่งประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 11% ในไตรมาส 1/2566 ขณะที่อินเดียลดลงกว่า 17% ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากราคาทองคำในสกุลท้องถิ่นสูงขึ้น รวมถึงความต้องการทองคำแท่งและเหรียญก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในไตรมาสที่ 1/2566 จีนมีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้กว่า 34% ขณะที่อินเดียลดลงกว่า 17% นอกจากนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเข้าสะสมทองคำเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้กว่า 228.4 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 176% ที่ 82.7 ตันในไตรมาสแรกปี 2565
แนวโน้มราคาทองคำในช่วงต้นสัปดาห์คาดเคลื่อนไหว Sideways up หลังจากเริ่มมีสัญญาณซื้อในวันพฤหัส โดยระยะสั้นทองคำมีแนวต้านที่ 1,970 ดอลลาร์ แต่คาดว่าจะมีแรงเทขายออกมา แต่ถ้าผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านสำคัญที่ 1,983 ดอลลาร์